ขั้นตอนการผลิต
ขั้นตอนการผลิตสื่อสร้างสรรค์ประเภทสารคดีสั้น
กิจกรรมผลิตสื่อสร้างสรรค์และสารคดีสั้น โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน คือ
ขั้นที่ 1 การกำหนดปัญหา ครูนำเสนอสถานการณ์ปัญหา แล้วให้นักเรียนเป็น
ผู้กำหนดประเด็นที่สนใจ จากนั้นสมาชิกกลุ่มร่วมกันทำความเข้าใจ ระบุ อธิบาย และหาทางแก้ปัญหาแนวทางการทำหรือการผลิต
ขั้นที่ 2 การวางแผนทำงาน สมาชิกกลุ่มกันวางแผนการทำงานฯ มีการกำหนดประเด็นหัวข้อเรื่อง วิธีการสืบค้น เก็บรวบรวมข้อมูล
ขั้นที่ 3 สืบค้นข้อมูล ดำเนินการสืบคืนข้อมูลตามแผนที่วางไว้ ร่วมกันอภิปราย วิเคราะห์ สังเคราะห์ โดยใช้เหตุผลประกอบการตัดสินใจในการผลิตสื่อนั้นๆ
ขั้นที่ 4 ลงมือปฏิบัติหรือผลิตผลงาน โดยดำเนินการใช้โปรแกรม เขียนสคริปต์
ตัดต่อ กราฟิก บันทึกเสียง ตรวจสอบผลงาน ให้ได้บรรลุตามต้องการ
ขั้นที่ 5 การนำเสนอเผยแพร่ข้อมูล สมาชิกในกลุ่มนำเสนอผลงานในรูปแบบต่างๆ ผ่านเว็บไซต์ครูสมรดอทคอม เผยแพร่ผ่าน Social Media และส่งเข้าประกวดตามโครงการต่างๆ
ผู้กำหนดประเด็นที่สนใจ จากนั้นสมาชิกกลุ่มร่วมกันทำความเข้าใจ ระบุ อธิบาย และหาทางแก้ปัญหาแนวทางการทำหรือการผลิต
ขั้นที่ 2 การวางแผนทำงาน สมาชิกกลุ่มกันวางแผนการทำงานฯ มีการกำหนดประเด็นหัวข้อเรื่อง วิธีการสืบค้น เก็บรวบรวมข้อมูล
ขั้นที่ 3 สืบค้นข้อมูล ดำเนินการสืบคืนข้อมูลตามแผนที่วางไว้ ร่วมกันอภิปราย วิเคราะห์ สังเคราะห์ โดยใช้เหตุผลประกอบการตัดสินใจในการผลิตสื่อนั้นๆ
ขั้นที่ 4 ลงมือปฏิบัติหรือผลิตผลงาน โดยดำเนินการใช้โปรแกรม เขียนสคริปต์
ตัดต่อ กราฟิก บันทึกเสียง ตรวจสอบผลงาน ให้ได้บรรลุตามต้องการ
ขั้นที่ 5 การนำเสนอเผยแพร่ข้อมูล สมาชิกในกลุ่มนำเสนอผลงานในรูปแบบต่างๆ ผ่านเว็บไซต์ครูสมรดอทคอม เผยแพร่ผ่าน Social Media และส่งเข้าประกวดตามโครงการต่างๆ
อ้างอิง : http://www.krusamorn.com/media/?page_id=458
การเขียนบทสคริปต์
หลักการเขียนงานประเภทสื่อสร้างสรรค์ต่างๆ
อรสม สุทธิสาคร ได้กล่าวไว้ว่าสารคดีเป็นวรรณกรรมชนิดหนึ่ง หากต่างจากวรรณกรรมอื่นที่เป็นเรื่องแต่งตรงที่สารคดีเป็นวรรณกรรมที่ยืนอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ดังนั้น คุณค่าของสารคดีจึงเป็นงานที่สะท้อนสัจจะความเป็นจริง ให้ทั้งสาระความรู้ และรสของวรรณกรรม มิใช่เป็นงานที่สร้างจากจินตนาการที่อาจอ่านเพื่อความเริงรมย์ เพียงประการเดียว
“ข้อเท็จจริง” เหล่านี้ ทำให้คนเขียนสารคดีไม่สามารถนั่งทำงานอยู่ตามลำพังในห้องหับกับจินตนาการ ความฝันของตนเองได้ แต่ต้องก้าวออกไปหาข้อมูลจากภายนอก งานข้อมูลจึงถือเป็นหัวใจหลักของการทำงานสารคดี
“ข้อเท็จจริง” เหล่านี้ ทำให้คนเขียนสารคดีไม่สามารถนั่งทำงานอยู่ตามลำพังในห้องหับกับจินตนาการ ความฝันของตนเองได้ แต่ต้องก้าวออกไปหาข้อมูลจากภายนอก งานข้อมูลจึงถือเป็นหัวใจหลักของการทำงานสารคดี
1 การเริ่มต้นเขียนสารคดี
2 การหาข้อมูลเพื่อเขียนบทสารคดี
3 คุณสมบัติของคนเขียนสารคดี
พื้นฐานแรกของการเขียนหนังสือที่ดี คือการเป็นนักอ่าน การอ่านเป็นพื้นฐานของการเขียน ทำให้เราได้รู้วิธีการเรียบเรียงความคิด ได้คลังคำ ได้ความรู้ นอกจากมีความรักในการอ่านแล้ว หากจะเริ่มต้นลงมือเขียน ควรเลือกเรื่องที่เราสนใจ หรืออาจเป็นเรื่องที่เราคุ้นชิน หรือเรื่องใกล้ตัว เพราะการเลือกเรื่องที่เราสนใจ ทำให้เรามีความบันดาลใจหรือแรงขับดันในการทำงาน ซึ่งมีผลให้เราทำงานด้วยความสนุก หรือการเลือกเรื่องใกล้ตัวที่เราพอคุ้นชิน ทำให้เราเริ่มต้นหาข้อมูลไม่ยากจนเกินไป กฎของการเริ่มต้นมีว่า ให้ทำอะไรง่าย ๆ ไปก่อน อย่าเพิ่งรีบร้อน จะได้ไม่ท้อ เมื่อเราสั่งสมประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ เก่งกล้าขึ้นแล้ว ค่อยปล่อยวิญญาณความท้าทายโจทย์ยาก ๆ ให้เต็มที่ได้
2 การหาข้อมูลเพื่อเขียนบทสารคดี
โดยหลัก ๆ ข้อมูลอาจแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือข้อมูลเอกสาร และข้อมูลบุคคล ก่อนออกไปเก็บข้อมูลจากภาคสนาม หรือภายนอก เราควรค้นคว้า หาข้อมูลเอกสารไว้ก่อน เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐาน เป็นการเตรียมความรู้ ความพร้อมของตนก่อนไปพบข้อมูลบุคคลจากข้อมูลเอกสารที่มีอยู่ อาจทำให้เราได้รู้ว่ามีข้อมูลบุคคลท่านใดที่น่าสนใจที่เราจะไปพบได้ด้วยงานเขียนสารคดีที่ดีต้องมีข้อมูลที่รอบด้านและลุ่มลึก จากข้อมูลที่รอบด้าน ลุ่มลึกนี้เอง ทำให้ผู้อ่านได้ข้อมูลใหม่ ๆ อันทำให้เกิดมุมมองใหม่ ๆ ในการมองชีวิตในประเด็นเรื่องนั้น ๆ
การจะมีข้อมูลที่รอบด้าน ลุ่มลึกได้ ต้องมาจากการขยันหาข้อมูล ลงพื้นที่จริงนับครั้งไม่ถ้วน พูดคุยกับผู้คนหลากหลายชีวิต ข้อพึงระวังคืองานสารคดีต้องมีความเที่ยงธรรม มีความเป็นกลาง และไม่ตัดสินผู้คน คนเขียนสารคดีเพียงเสนอข้อมูลผ่านงานเขียน วิจารณญาณเป็นของผู้อ่าน ไม่ใช่ผู้เขียน
เนื่องจากงานเขียนสารคดีเป็นงานที่ต้องใช้วิทยายุทธหลายด้าน หากจะอนุมานได้ง่าย ๆ คือต้องมีทั้งความเป็นนักฝัน หรือนักจินตนาการ และความเป็นนักปฏิบัติอยู่ในตัว ดังนั้น คุณสมบัติของคนเขียนสารคดีที่ดี จึงอาจมีหลายประการ พอประมาณคล่าว ๆ ได้ดังนี้
1) เป็นคนที่ใฝ่รู้ ใฝ่ศึกษาอยู่ตลอดเวลา มีความสนใจใคร่รู้ กระตือรือร้น
2) เป็นคนละเอียดอ่อน ช่างสังเกต ช่างคิด
3) เป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์
4) มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี สุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน เข้าไหนเข้าได้ ปรับตัวให้เข้ากับผู้คนและสภาพแวดล้อมได้ง่าย
5) มีพลัง ความตั้งใจจริง มีน้ำอดน้ำทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดง่าย ๆ
อ้างอิง : http://www.krusamorn.com
หลักการผลิตสารคดี
มีภาพนำเสนออยู่
6 ภาพ ด้วยกันคือ
1. ภาพตัวพิธีกร หรือผู้ดำเนินรายการ จะเดี่ยวคู่ เป็นดารา อาจารย์ ผู้ทรงคุณวุฒิ จะเป็นใครก็ได้คอยถามสิ่งที่คิดว่าคนทั่วไปอยากรู้คอยเปิดประเด็นเพิ่มคอยสรุปและดึงเนื้อหาในเรื่องออกมาให้คนดูรู้เรื่อง ให้ได้(
ไม่ให้หลุดคอนเซ็ป ) พูดง่ายๆก็คือ
ทำหน้าที่แทนคนดูทางบ้านนั่นแหละ ( ตัวพิธีกรก็คือตัวแทนของกลุ่มคนดู เช่น รายการวัยรุ่นพิธีกรก็ต้องวัยรุ่นด้วย
)
2. ภาพผู้ถูกสัมภาษณ์ หรือผู้เล่าเรื่องราว มีหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่จะนำเสนอให้คนที่ไม่รู้ได้รู้จริง ( ให้ได้รับข้อมูลถูกต้อง ) และให้คนที่ไม่เข้าใจได้เข้าใจ ( ไม่สับสน )ด้วยบางครั้งผู้เล่ามีความรู้มากมาย จึงเล่าสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก พิธีกรจะต้องคอยตะล่อมให้เข้าสู่เนื้อหาที่ตรงประเด็น หรือ ถ้าผู้เล่า อธิบายไม่ละเอียดข้ามไปมา พิธีกรก็จะต้องคอยสรุปถามให้แน่ชัดว่า สิ่งที่เราเข้าใจคือสิ่งที่ผู้เล่ากำลังพูดถึงใช่หรือไม่
3. ภาพตัวพิธีกรและภาพผู้เล่าเรื่องราวทั้ง 2 คนอยู่ในภาพเดียวกัน(ต่างกันกับแบบที่มีพิธีกรคนเดียว และแบบ 2 มีตัวผู้เล่าเรื่องราวคนเดียว )
4. ภาพในเนื้อหาแต่ใช้เสียงคนประกอบ เสียงที่ใช้อาจเป็นเสียงพิธีกร หรือเสียงผู้เล่าเรื่องราว ถ้าบางครั้งผู้เล่าเรื่องราวมีเวลาให้เราน้อย เราสามารถเปลี่ยนเสียงเป็นคนบรรยายอื่นก็ได้ เพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อหน่าย เช่น ผู้เล่าเรื่องราวเป็นชาย ช่วงอธิบายอาจเป็นเสียงผู้หญิง
5. ภาพในเนื้อหาแต่ใช้เสียงเพลงประกอบไปกับภาพ ภาพสนุกตื่นเต้นก็ใช้เพลงตื่นเต้น เพลงประกอบ จะช่วยเสริมให้เนื้อเรื่องในสารคดีน่าสนใจมากขึ้น (จริงๆ แล้ว ภาพ 4 - ภาพ 5 ก็คือภาพเดียวกัน แต่แบ่งแยกออกมาให้น้องใหม่ได้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น เวลาอธิบาย)
6. นำภาพทั้งหมด ตั้งแต่ภาพแบบที่ 1-ภาพแบบที่ 5 นำมารวมกันอยู่ในเฟรมเดียวกัน เช่น ภาพตัวพิธีกรกับภาพเหตุการณ์ที่คนกำลังทำงานอยู่ในเฟรมเดียวกัน หรือภาพผู้เล่ากับภาพเหตุการณ์อยู่ในเฟรมเดียวกัน อาจแบ่งภาพเป็น 2 - 3 - 4 ช่องในเฟรมเดียวกัน ก็ได้
2. ภาพผู้ถูกสัมภาษณ์ หรือผู้เล่าเรื่องราว มีหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่จะนำเสนอให้คนที่ไม่รู้ได้รู้จริง ( ให้ได้รับข้อมูลถูกต้อง ) และให้คนที่ไม่เข้าใจได้เข้าใจ ( ไม่สับสน )ด้วยบางครั้งผู้เล่ามีความรู้มากมาย จึงเล่าสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก พิธีกรจะต้องคอยตะล่อมให้เข้าสู่เนื้อหาที่ตรงประเด็น หรือ ถ้าผู้เล่า อธิบายไม่ละเอียดข้ามไปมา พิธีกรก็จะต้องคอยสรุปถามให้แน่ชัดว่า สิ่งที่เราเข้าใจคือสิ่งที่ผู้เล่ากำลังพูดถึงใช่หรือไม่
3. ภาพตัวพิธีกรและภาพผู้เล่าเรื่องราวทั้ง 2 คนอยู่ในภาพเดียวกัน(ต่างกันกับแบบที่มีพิธีกรคนเดียว และแบบ 2 มีตัวผู้เล่าเรื่องราวคนเดียว )
4. ภาพในเนื้อหาแต่ใช้เสียงคนประกอบ เสียงที่ใช้อาจเป็นเสียงพิธีกร หรือเสียงผู้เล่าเรื่องราว ถ้าบางครั้งผู้เล่าเรื่องราวมีเวลาให้เราน้อย เราสามารถเปลี่ยนเสียงเป็นคนบรรยายอื่นก็ได้ เพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อหน่าย เช่น ผู้เล่าเรื่องราวเป็นชาย ช่วงอธิบายอาจเป็นเสียงผู้หญิง
5. ภาพในเนื้อหาแต่ใช้เสียงเพลงประกอบไปกับภาพ ภาพสนุกตื่นเต้นก็ใช้เพลงตื่นเต้น เพลงประกอบ จะช่วยเสริมให้เนื้อเรื่องในสารคดีน่าสนใจมากขึ้น (จริงๆ แล้ว ภาพ 4 - ภาพ 5 ก็คือภาพเดียวกัน แต่แบ่งแยกออกมาให้น้องใหม่ได้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น เวลาอธิบาย)
6. นำภาพทั้งหมด ตั้งแต่ภาพแบบที่ 1-ภาพแบบที่ 5 นำมารวมกันอยู่ในเฟรมเดียวกัน เช่น ภาพตัวพิธีกรกับภาพเหตุการณ์ที่คนกำลังทำงานอยู่ในเฟรมเดียวกัน หรือภาพผู้เล่ากับภาพเหตุการณ์อยู่ในเฟรมเดียวกัน อาจแบ่งภาพเป็น 2 - 3 - 4 ช่องในเฟรมเดียวกัน ก็ได้
อ้างอิง : http://www.thaidfilm.com/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)